ช่วงวัยเตาะแตะเป็นช่วงที่พ่อแม่หลายคนต้องปรับตัว เพราะเด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านร่างกายและอารมณ์อย่างรวดเร็ว นอนน้อยกว่าทารกแรกเกิดแต่ยังต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อให้สมองเติบโตได้เต็มที่ และไม่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เด็กวัยหนึ่งถึงสามขวบควรนอนวันละประมาณ 11 ถึง 14 ชั่วโมง รวมทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของการฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะสมอง ฮอร์โมนการเจริญเติบโต และระบบภูมิคุ้มกัน ช่วงที่เด็กนอนหลับสนิท ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางกายภาพที่สมดุล

เด็กที่นอนหลับไม่เพียงพอมักจะแสดงออกผ่านพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย สมาธิสั้น งอแงบ่อย หรือมีปัญหาเรื่องความจำ ซึ่งอาจกระทบต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมในระยะยาว โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน สมองของเด็กอาจไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ เพราะขาดช่วงเวลาในการเรียงจัดความจำหรือฟื้นฟูความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมในแต่ละวัน

การสร้างกิจวัตรการนอนที่ดีในวัยนี้ถือว่าสำคัญ เพราะเด็กเริ่มมีการต่อต้านเล็กน้อย มีความอยากรู้อยากเห็นและมีพลังงานเหลือเฟือ จึงอาจไม่ยอมเข้านอนตรงเวลา พ่อแม่สามารถช่วยได้ด้วยการวางกิจวัตรที่แน่นอน เช่น เวลาอาบน้ำ อ่านนิทาน ปิดไฟ ค่อยๆ ลดแสง ลดเสียง เพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่สภาวะพร้อมนอนอย่างเป็นธรรมชาติ

แสงจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่รบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการหลับลึก แม้เด็กอาจยังไม่ได้ใช้หน้าจอมากเท่าผู้ใหญ่ แต่การปล่อยให้ดูคลิปก่อนนอนหรือใช้แท็บเล็ตเล่นเกมอาจทำให้สมองยังคงตื่นตัว ส่งผลให้หลับช้า หลับไม่ลึก หรือสะดุ้งตื่นบ่อยในเวลากลางคืน

คุณภาพการนอนสำคัญไม่น้อยไปกว่าปริมาณ เด็กบางคนอาจนอนครบชั่วโมงแต่ตื่นบ่อย ฝันร้าย หรือขยับตัวมากผิดปกติ ส่งผลให้สมองไม่ได้พักเต็มที่ การสร้างสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้สงบ ปลอดภัย มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ปิดเสียงรบกวนและแสงไฟจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เด็กนอนลึกได้มากขึ้น

เด็กบางคนอาจยังต้องนอนกลางวันหนึ่งรอบในช่วงบ่ายเพื่อเติมพลัง โดยไม่กระทบต่อการนอนกลางคืน แต่ควรหลีกเลี่ยงการนอนในช่วงเย็นหรือค่ำ เพราะจะรบกวนวงจรการนอนของร่างกาย ถ้าลูกมีแนวโน้มง่วงนอนหลังหกโมงเย็น ควรเปลี่ยนเป็นเข้านอนเร็วกว่าปกติแทนที่จะให้หลับระหว่างวัน

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กนอนเพียงพอ เช่น ตื่นมาสดชื่น เล่นได้ยาวโดยไม่งอแง สมาธิดี กินอาหารได้ปกติ และไม่อารมณ์แปรปรวนบ่อย หากเด็กแสดงพฤติกรรมตรงกันข้ามต่อเนื่องกันหลายวัน ควรเริ่มสำรวจตารางนอน และหาทางปรับให้เหมาะสมก่อนพาไปพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

ช่วงอายุหนึ่งถึงสามปีคือจุดเปลี่ยนสำคัญของพัฒนาการทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสมอง การนอนให้พอและมีคุณภาพจะส่งผลต่อพฤติกรรม ความฉลาด และสุขภาพระยะยาวของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ พ่อแม่ที่เข้าใจความสำคัญของการนอนในวัยนี้และช่วยลูกสร้างพฤติกรรมการนอนที่ดีตั้งแต่ต้น คือการวางรากฐานที่แข็งแรงให้กับอนาคตของลูกในทุกด้าน